วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Hento White

 Hento White  

คือนวัตกรรมสารสกัดเพื่อผิวขาวกระจ่างใสใหม่ล่าสุดจากประเทศสเปน Hento White 
สารอนุพันธ์จาก Resorcinol ที่ออกฤทธิ์ในการลดเลือนจุดด่างดำ
ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส ลดรอยกระ ฝ้า ปรับสีผิวที่ไม่เรียบเนียนให้สม่ำเสมอ
โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว โดยการทำงานของ
เฮนโตะ  ไวท์เอ็กซ์เพิล เซ็ท ไม่เพียงเข้าไปยับยั้ง
เอนไซม์ไทรโรซิเนสเท่านั้น แต่ออกฤทธิ์ใน 3 ขั้นตอน 
ที่เป็นสาเหตุการเกิดสาเหตุของสีผิวที่หมองคล้ำ คือ
1)   ก่อนการสร้างเม็ดสีเมลลานิน Hento White 
จะเข้าไปรบกวนการสังเคราะห์และกระบวนการ Glycosilation 
ของเอ็มไซม์ไทรโรสิเนส ส่งผลให้เกิดการยับยั้ง 
การดูดซึมเอ็นไซม์ไทรโรซิเนสในเมลาโนโซม 
ป้องกันการเกิดเม็ดสีผิวในกระบวนการสังเคราะห์เมลลานิน 
2)   ในกระบวนการสังเคราะห์เมลลานิน จะทำงานให้เอ็นไซม์ TRP1 และ TRP2
ลดลง ส่งผลให้ลดการสร้างสารที่จะสนับสนุนการสร้างเม็ดสีเมลลานิน
3)   หลังจากที่เมลลานินถูกสร้างขึ้นแล้ว Hento White 
จะเข้าไปเข้าไปกระตุ้นการเสื่อมสลายของของเอ็มไซม์ไทรโรสิเนส
ยังยั้ยการส่งเมลาโนโซมสู่เซลล์ผิวชั้นบน  ช่วยผลัดเซลล์ผิวทำให้
ผิวขาวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ผิวเรียบกระชับ

 Hento White จะทำให้ สุขภาพดี ผิวละเอียด เนียนนุ่มน่าสัมผัส ชุ่มชื่นขึ้น รอยฝ้าลดจุดด่างดำ รอยฝ้าจากแสงแดด
ปกป้องผิว พร้อมปรับผิวหน้าให้แลดูสว่างกระจ่างเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ 
ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเหี่ยวย่นของหน้า ให้ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย 
ผลที่ได้ คือผิวดี เนียนนุ่มขึ้น เป็นไปอย่างธรรมชาติ
สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวหน้า ผิวหน้าจะขาวกระจ่างใสเงา
อย่างเป็นธรรมชาติ เปล่งประกายสดใสต่อเนื่องยาวนาน 
ทำให้ผิว ใส ขาวเนียน แข็งแรงขึ้น ลดการเกิดผิวหน้าหมองคล้ำ 
ยับยั้งต้นเหตุผิวสีคล้ำ เพิ่มความกระจ่างใส และลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ 
สูตรเอกสิทธิ์เฉพาะ We World International 1689 เท่านั้น!!!


ผลลัพธ์อันน่าประทับใจจากผู้ได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ :



                + 95% ผิวขาว กระจ่างใสขึ้น 
                + 92% รู้สึกถึงผิวที่แลดูเรียบเนียนขึ้น
                + 96% ฝ้ากระ ลดเลือนลง

สนใจรับไปใช้ คลิกที่นี้
http://skybeauty.lnwshop.com/product/65/hento-brightening-serum


วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช

ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช
 
     ในจำนวนธาตุอาหารที่พืชจำเป็นต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซึ่งมีอยู่ 16 ธาตนั้น ี 3 ธาตุ ที่พืชได้มาจากอากาศและน้ำ คือ คาร์บอน ( C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O)ส่วนอีก 13 ธาตุนั้น พืชต้องดูดดึงขึ้นมาจากดิน ซึ่งธาตุเหล่านี้ได้มาจากการผุพงสลายตัวของส่วนที่เป็นอนินทรียวัตถุและอินทรียวัตถุหรือฮิวมัสในดิน สามารถแบ่งตามปริมาณที่พืชต้องการใช้ได้ เป็น กลุ่ม คือ มหธาตุ และจุลธาตุ
  
1. มหธาตุ (macronutrients)
 
    มหธาตุหรือธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก ที่ได้มาจากดินมีอยู่ 6 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S) แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
  
ธาตุอาหารหลัก หรือ ธาตุปุ๋ย ได้แ่ก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) เนื่องจากสามธาตุนี้พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก แต่มักจะได้รับจากดินไม่ค่อยเพียงพอกับความต้องการ ต้องช่วยเหลือโดยใส่ปุ๋ยอยู่เสมอ
  
ธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S) เป็นกลุ่มที่พืชต้องการใช้ในปริมาณที่น้อยกว่า และไม่ค่อยมีปัญหาขาดแคลนในดินทั่วๆ ไปเหมือนสามธาตุแรก
  
2. จุลธาตุ หรือ ธาตุอาหารเสริม (micronutrients)
 
     จุลธาตุหรือธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณน้อย มีอยู่ 7 ธาตุ ได้แก่ เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลิบดินัม (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) และคลอรีน (Cl)
 
     ไม่ว่าจะเป็นธาตุอาหารในกลุ่มมหธาตุหรือจุลธาตุ ต่างก็มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะความจริงแล้ว ธาตุทุกธาตุมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของพืชเท่าๆ กัน จะต่างกันแต่เพียงปริมาณที่พืชต้องการเท่านั้น ดังนั้นพืชจึงขาดธาตุใดธาตุหนึ่งไม่ได้ หากพืชขาดธาตุอาหารแม้แต่เพียงธาตุเดียว พืชจะหยุดการเจริญเติบโต แคระแกร็น ไม่ให้ผลผลิตและตายในที่สุด
 
หน้าที่ของธาตุอาหารพืช
 
       ธาตุอาหารพืชแต่ละชนิดมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกันไป และถ้าพืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็จะแสดงอาการที่แตกต่างกันตามแต่ชนิดของธาตุอาหารที่ขาดแคลนนั้น
  
ไนโตรเจน มีหน้าที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีน ช่วยให้พืชมีสีเขียว เร่งการเจริญเติบโตทางใบ หากพืชขาดธาตุนี้จะแสดงอาการใบเหลือง ใบมีขนาดเล็กลง ลำต้นแคระแกร็นและให้ผลผลิตต่ำ
  
ฟอสฟอรัส มีหน้าที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของราก ควบคุมการออกดอก ออกผล และการสร้างเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตุนี้ระบบรากจะไม่เจริญเติบโต ใบแก่จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลและหลุดร่วง ลำต้นแกร็นไม่ผลิดอกออกผล
  
โพแทสเซียม เป็นธาตุที่ช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล ช่วยให้ผลเติบโตเร็วและมีคุณภาพดี ช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลงบางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะไม่แข็งแรง ลำต้นอ่อนแอ ผลผลิตไม่เติบโต มีคุณภาพต่ำ สีไม่สวย รสชาติไม่ดี
  
แคลเซียม เป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด พืชขาดธาตุนี้ใบที่เจริญใหม่จะหงิกงอ ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น ผลแตก และมีคุณภาพไม่ดี
  
แมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมัน และน้ำตาล ทำให้สภาพกรดด่างในเซลล์พอเหมาะและช่วยในการงอกของเมล็ด ถ้าขาดธาตุนี้ใบแก่จะเหลือง ยกเว้นเส้นใบ และใบจะร่วงหล่นเร็ว
  
 กำมะถัน เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรดอะมิโน โปรตีน และวิตามิน ถ้าขาดธาตุนี้ทั้งใบบนและใบล่างจะมีสีเหลืองซีด และต้นอ่อนแอ
  
โบรอน ช่วยในการออกดอกและการผสมเกสร มีบทบาทสำคัญในการติดผลและการเคลื่อนย้ายน้ำตาลมาสู่ผล การเคลื่อนย้ายของฮอร์โมน การใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนและการแบ่งเซลล์ ถ้าพืชขาดธาตุนี้ ตายอดจะตายแล้วเริ่มมีตาข้าง แต่ตาข้างก็จะตายอีก ลำต้นไม่ค่อยยืดตัว กิ่งและใบจึงชิดกัน ใบเล็ก หนา โค้งและเปราะ
  
ทองแดง ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ การหายใจ การใช้โปรตีนและแป้ง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์บางชนิด ถ้าพืชขาดธาตุนี้ ตายอดจะชะงักการเจริญเติบโตและกลายเป็นสีดำ ใบอ่อนเหลือง และพืชทั้งต้นจะชะงักการเจริญเติบโต
  
 คลอรีน มีบทบาทบางประการเกี่ยวกับฮอร์โมนในพืช ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะเหี่ยวง่าย ใบสีซีด และบางส่วนแห้งตาย
  
 เหล็ก ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์แสงและหายใจ ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีขาวซีดในขณะที่ใบแก่ยังเขียวสด
  
แมงกานีส ช่วยในการสังเคราะห์แสงและการทำงานของเอนไซม์บางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีเหลืองในขณะที่เส้นใบยังเขียว ต่อมาใบที่มีอาการดังกล่าวจะเหี่ยวแล้วร่วงหล่น
  
 โมลิบดินัม ช่วยให้พืชใช้ไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีน ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะมีอาการคล้ายขาดไนโตรเจน ใบมีลักษณะโค้งคล้ายถ้วย ปรากฏจุดเหลืองๆ ตามแผ่นใบ
  
สังกะสี ช่วยในการสังเคราะห์ฮอร์โมนออกซิน คลอโรฟิลล์ และแป้ง ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีเหลืองซีดและปรากฏสีขาวๆ ประปรายตามแผ่นใบ โดยเส้นใบยังเขียว รากสั้นไม่เจริญตามปกติ
  
       เมื่อมีการปลูกพืชลงบนดิน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณของธาตุอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ในดินเนื่องจากในขณะที่พืชมีการเจริญเติบโต พืชจะดูดดึงธาตุอาหารในดินไปใช้และเก็บสะสมไว้ในส่วนต่างๆ ได้แก่ ใบ ลำต้น ดอก ผล จนถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตและนำออกไปจากพื้นที่ ธาตุอาหารที่สะสมอยู่เหล่านั้นย่อมถูกนำออกไปจากพื้นที่ด้วย นอกจากนี้ธาตุอาหารบางส่วนยังเกิดการสูญหายไปในรูปก๊าซ ถูกดินหรือสารประกอบในดินจับยึดไว้ บางส่วนถูกชะล้างออกไปจากบริเวณรากพืช หรือสูญเสียไปกับการชะล้างพังทลายของดิน
       ดังนั้นการเพาะปลูกพืชติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน โดยไม่มีการเติมธาตุอาหารลงไปในดิน ย่อมทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง และในที่สุดดินจะกลายเป็นดินเลวปลูกพืชไม่เจริญเติบโตอีกต่อไป ในการปลูกพืชจึงต้องมีการใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงดิน ช่วยเพิ่มธาตุอาหารพืชและคงระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้อยู่เสมอ

 ที่มา http://oss101.ldd.go.th/web_soils_for_youth/s_prop_nutri02.htm

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หมอเด็กเตือนอย่าหลงเชื่อรูปโฆษณา ให้ทารกดื่มน้ำคอโรฟิลล์ ชี้เป็นอันตรายต่อเด็ก พร้อมแนะวิธีให้อาหารทารกตามช่วงวัย

หมอเด็กเตือนอย่าหลงเชื่อรูปโฆษณา ให้ทารกดื่มน้ำคอโรฟิลล์ ชี้เป็นอันตรายต่อเด็ก พร้อมแนะวิธีให้อาหารทารกตามช่วงวัย

            วานนี้ (18 พฤศจิกายน 2557) พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ทารกแรกเกิด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ" ถึงกรณีมีชาวเน็ตส่งภาพของหญิงสาวรายหนึ่ง ที่ถ่ายภาพขณะให้เด็กทารกเพิ่งคลอดได้ 7 วัน น้ำหนัก 5 กิโลกรัม ดูดน้ำคลอโรฟิลล์ โดยอ้างว่าแม่เด็กดื่มมาตั้งแต่ตอนท้อง และเมื่อคลอดก็ให้ลูกดื่มต่อ โดย พญ.สุธีรา ได้แสดงความเป็นห่วงถึงคุณแม่ทั้งหลาย อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาโพสต์ขายของที่หลอกลวงเช่นนี้ พร้อมชี้ว่าการที่เด็กมีน้ำหนัก 5 กิโลกรัมนั้นไม่ใช่เด็กปกติ เด็กอาจมีโรคแทรกซ้อน พร้อมย้ำว่าการให้ทารกดื่มน้ำอื่น ๆ ที่ไม่ใช่นมแม่ หรือ นมผงสำหรับทารก จะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ 

โดยระบุข้อความดังนี้ 

            "#คุณหมอจ่าพิชิตเป็นห่วงเด็ก ๆ ส่งรูปนี้มาเตือนใจ

            ป้าหมอขอขอบคุณ คุณหมอจ่าพิชิต ขจัดพาลชน ที่กรุณาส่งรูปผู้หญิงคนหนึ่งในโซเชียลมีเดียกำลังเอาน้ำที่เจ้าตัวบอกว่าชื่อน้ำคลอโรฟิลล์ ให้เด็กทารกกิน ด้วยความเป็นห่วงว่า ในปัจจุบันมีการโพสต์ขายของมากมาย โดยไม่มีการกลั่นกรอง หากผู้ไม่ทราบ หลงใช้ตามโฆษณา ก็จะเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ค่ะ

            ทารกแรกเกิดหนัก 5 กก. ไม่ใช่เด็กปกตินะคะ ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมหรือเลียนแบบ อาจเกิดจากการที่คุณแม่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือเด็กอาจเป็นโรคผิดปกติบางอย่างที่ทำให้มีปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ มีผลกับสมองตามมา หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง และ การให้ทารกกินน้ำอื่น ๆ ที่ไม่ใช่นมแม่ หรือนมผงสำหรับทารกที่ได้รับการเตรียมอย่างถูกสัดส่วนและสะอาด จะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น เกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษจนสมองบวม ท้องร่วงจากติดเชื้อ เกิดอาการแพ้รุนแรง

            ต่อไปนี้คือ วิธีให้อาหารตามวัยที่ถูกต้อง ใช้ได้ทั้งกรณีนมแม่และนมผง

            คำถามจากคุณแม่แฟนเพจเกี่ยวกับวิธีให้อาหารตามวัย  >>>>> ลูกของคุณแม่สามเดือนกว่าแล้วค่ะ คุณแม่ให้นมแม่อยู่ และกำลังคิดว่าอาจเริ่มให้อาหารอ่อน ๆ ประเภทกล้วยบดหรือว่าข้าวบด แต่เคยได้ยินมาว่าควรให้เมื่อลูกสี่เดือนขึ้นไป ไม่อย่างนั้นอาจไม่ดีต่อกระเพาะอาหารเล็ก ๆ จึงอยากสอบถามคุณแม่ว่าสามารถเริ่มให้ได้เลยหรือยังคะ และถ้าเริ่มได้ควรเริ่มจากอะไรก่อนดีคะ"

            ป้าหมอ  >>>>  ทำไมจึงไม่ควรให้ทารกกินอาหารอื่นที่ไม่ใช่นม ก่อนอายุ 6 เดือน

            เมื่อ 10 ปีก่อน แนะนำให้เริ่มอาหารตามวัยหลัง 4 เดือน แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 6 เดือนแล้วค่ะ โดยมีงานวิจัยมากมายสนับสนุนคำแนะนำดังกล่าว แต่บุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่ง และหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกหลาย ๆ เล่ม ยังไม่ทราบข้อมูลใหม่เหล่านี้ 

            ต่อไปนี้ คือ หน่วยงานที่แนะนำว่า ทารกควรกินนมแม่อย่างเดียว หรือ กินนมผงบวกน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก

            *องค์การอนามัยโลก *ยูนิเซฟ *สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติออสเตรเลีย *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแคนาดา

            เพราะว่าทารกส่วนใหญ่จะมีความพร้อมทั้งด้านพัฒนาการและร่างกายในการกินอาหารอื่นที่ไม่ใช่นมแม่ หรือ นมผง เมื่ออายุประมาณ 6-9 เดือน บางงานวิจัยกล่าวว่าเด็กบางคนควรเริ่มกินอาหารตามวัยช้ากว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป เช่น คนที่มีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว อาจเริ่มที่อายุ 12 เดือน หรือเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด

            #ข้อดีของการเริ่มอาหารหลังอายุ 6 เดือน

             ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วย เพราะได้รับภูมิต้านทานจากนมแม่เต็มที่ มากกว่า 50 ชนิด และยังมีอีกมากมายที่ยังไม่รูัจัก การศึกษาหนึ่งพบว่าเด็กที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวใน 4 เดือนแรก พบปัญหาโรคหูชั้นกลางอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารตามวัยเร็ว โดยลดลงถึง 40% และมีปัญหาโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจลดลงอย่างชัดเจน 

             ไม่ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักเกินไป ถ้าเริ่มเร็วเกินไป อาจมีปัญหา ท้องอืด ท้องผูก น้ำย่อยโปรตีนยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ย่อยโปรตีนได้ไม่เต็มที่ น้ำย่อยคาร์โบไฮเดรตยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-7 เดือน น้ำย่อยไขมันยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะอายุ 6-9 เดือน

             ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคแพ้อาหาร งานวิจัยพบว่า ยิ่งให้นมแม่นาน ยิ่งลดความเสี่ยงของโรคแพ้อาหาร เพราะว่าก่อน 6 เดือน เซลล์เยื่อบุลำไส้ยังอยู่กันแบบหลวม ๆ (open) เพื่อให้ภูมิคุ้มกันจากนมแม่ผ่านเข้าไปตามช่องว่างดังกล่าวเข้าไปอยู่ในเลือดของลูก ช่วยป้องกันการติดเชื้อโรค แต่หากมีการให้อาหารแปลกปลอมอื่นเข้าไป สารแปลกปลอมก็จะเล็ดลอดเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายทารกสร้างสารต่อต้าน จนเกิดปัญหาแพ้อาหารตามมาได้ หลัง 6 เดือนเซลล์เยื่อบุลำไส้จะอยู่กันชิด ๆ แล้ว (close) ความเสี่ยงจึงลดลง

             ลดความเสี่ยงปัญหาขาดธาตุเหล็ก การให้อาหารอื่นก่อนอายุ 6 เดือน จะทำให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กจากนมได้น้อยลง งานวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับอาหารอื่นก่อน 6 เดือน จะมีปัญหาซีดจากขาดธาตุเหล็กที่อายุ 1 ขวบมากกว่า และเมื่อเริ่มอาหารเสริมแล้ว อย่าลืมให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นประจำ จะได้ไม่ซีด อีกปัจจัยหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงของโรคซีดหลัง 6 เดือน คือ ตอนคลอดควรรีดเลือดจากสายสะดือเข้ามาทางลูก ถึงแม้จะเพิ่มปัญหาตัวเหลืองขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

             ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น 

             ช่วยให้แม่ผลิตน้ำนมได้เต็มที่ เพราะหากกินอาหารตามวัย จะทำให้เด็กกินนมแม่ลดลง แม่จะสร้างน้ำนมลดลง พบว่าเด็กที่เริ่มอาหารตามวัยเร็วก่อน 6 เดือน มีแนวโน้มหย่านมแม่เร็วขึ้น

             ลูกมีปัญหาการกินน้อยกว่ากลุ่มที่เริ่มอาหารตามวัยก่อน 6 เดือน เพราะลูกมีความพร้อมมากกว่า อย่าเชื่อคำขู่ว่า ถ้าไม่เริ่มเร็ว ๆ ลูกจะกินข้าวยาก เพราะเริ่มเร็วเริ่มช้ากว่า 6 เดือน ก็มีปัญหากินข้าวยากได้ทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งเด็กที่กินนมแม่หรือนมผง ก็เจอปัญหากินข้าวยากทั้ง 2 กลุ่ม และข้อเท็จจริง คือ กลุ่มที่เริ่มเร็วกว่า 6 เดือน (เพราะน้ำย่อยและการเคลื่อนไหวของลำไส้ยังไม่พร้อม) และ กลุ่มนมผง (เพราะเด็กนมแม่ รสชาตินมแม่จะแปรเปลี่ยนไปตามอาหารที่แม่กิน จึงทำให้เด็กคุ้นเคยกับรสชาติอาหารมากกว่า แต่นมผง รสชาติจะคงเดิมตลอด) จะมีปัญหากินข้าวยากมากกว่าค่ะ

            ลูกใครที่กินก่อน 6 เดือน แล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่าโชคดีไปค่ะ เช่น ให้กินกล้วยตั้งแต่ 1 เดือน ลูกก็ไม่เห็นเป็นไร กระเพาะอาหารก็ไม่เห็นแตกเหมือนกับที่เป็นข่าว ก็เหมือนกับการรัดเข็มขัดนิรภัยที่บางคนไม่รัด ก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดีอยู่ แต่ผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวนั้นมีแน่ ๆ ค่ะ เช่น แทนที่ลูกจะได้กินนมแม่มาก ๆ ซึ่งมีสารบำรุงสมอง สารต้านเชื้อโรค สารต้านมะเร็ง ก็ต้องเสียพื้นที่ไปในการกินกล้วยซึ่งไม่มีสารเหล่านี้ และ งานวิจัยพบว่า การเริ่มกินสิ่งอื่นก่อน 6 เดือน จะเป็นสาเหตุทำให้หย่านมแม่ก่อนเวลาอันควรด้วยค่ะ ถ้าเราอยากให้ลูกกินนมแม่ไปได้นาน ๆ ก็ไม่ควรเริ่มอาหารอื่นก่อน 6 เดือนนะคะ

            #วิธีการให้อาหารตามวัย

            ให้เริ่มด้วยข้าวกล้อง (บางคนแพ้ข้าวกล้อง กินแล้วมีผื่นขึ้น หรือ ท้องผูก ก็ให้เปลี่ยนเป็นข้าวขัดขาว) หุงรวมกับถั่ว แล้ว ค่อย ๆ ใส่ผักทีละอย่าง ใช้ซ้ำหนึ่งเมนู นาน 4-5 วัน เพื่อการตรวจสอบว่าไม่มีปัญหาแพ้ อาการแพ้ คือ ผื่น ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือด งอแง ส่วนผลไม้และน้ำผลไม้ ค่อยเริ่มเดือนถัดไป เพื่อให้รู้จักรสชาติของผักซึ่งจืดก่อน เพื่อไม่ให้ติดหวาน

            ผักที่ใช้มีดังนี้ แครอท ไชเท้า มันเทศ มันฝรั่ง มันม่วง มันญี่ปุ่น ถั่วลันเตา ถั่วแขก ถั่วฟักยาว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วชิกพี ถั่วสปลิท ลูกเดือย ลูกบัว ผักกาดขาว ผักกาดเขียว ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว กะหล่ำปลี ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ผักโขม ปวยเล้ง บ็อคชอย มะรุม ยอดมะระ ผักหวาน ข้าวโพดอ่อน เห็ด หัวหอมใหญ่ บล็อกโคลี่ กะหล่ำดอก ฟักขาว แตงกวา แตงร้าน ฟักทอง ฟักเขียว อะโวคาโด เมล็ดพืช ควรเลือกผักออร์แกนิกจะได้สารพิษน้อยหน่อย ควรแช่น้ำยาล้างสารพิษ เช่น เบคกิ้งโซดา หรือ น้ำเกลือ หรือ น้ำยาแช่ผัก 

            อะโวคาโด เมล็ดพืช เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา เมล็ดแฟล็กซ์ มีโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของดีเอชเอ ช่วยบำรุงสมองและสายตา 

            ส่วนของข้าวกล้องและถั่วจะสุกช้า จึงควรแช่น้ำทิ้งไว้ 24 ชม. จึงค่อยต้มให้สุกด้วยน้ำเปล่า หรือ น้ำซุปผัก ไม่แนะนำน้ำต้มกระดูกหมู เพราะจะได้ไขมันจากสัตว์เข้าไปด้วย ห้ามปรุงรสด้วยซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำตาล น้ำผึ้ง เพราะจะทำให้ลูกติดรสชาติ ไม่ดีกับสุขภาพ แต่ให้ใส่เกลือไอโอดีนเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ขาดสารไอโอดีน ไม่ใช่ใส่เพื่อให้มีรสชาติ เมื่อข้าวและถั่วสุกดีแล้วจึงค่อยใส่ผัก รอจนสุก 

            ปล่อยให้เย็นแล้วตักใส่ช่องทำน้ำแข็ง เมื่อแข็งแล้วแกะใส่ถุงเก็บนม แยกเป็นแต่ละเมนู เก็บได้นาน 4 สัปดาห์ในตู้เย็นนช่องฟรีส เวลาจะใช้ แกะออกจากถุงใส่ภาชนะที่ปลอดภัยในการอุ่นด้วยไมโครเวฟ หรือ อุ่นบนเตา คนให้เข้ากันดี เพราะบางจุดร้อนจัด เดี๋ยวลวกปากลูก ไม่ควรทำอาหารจากดิบเป็นสุกด้วยไมโครเวฟ สำหรับอาหารของลูก เพราะกลัวจะสุกไม่ทั่วถึง แต่ใช้เป็นการอุ่นอาหารที่สุกมาแล้วได้ค่ะ 

            ส่วนภาชนะ จาน ถ้วย ช้อน ถาดน้ำแข็ง ล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดขวดนมและน้ำเปล่า ไม่ต้องนึ่ง

            อายุ 6-7 เดือน ให้บดอาหารให้ละเอียด โดยปั่นละเอียด หรือครูดผ่านกระชอน วันละมื้อเดียว หัดให้ลูกกินน้ำจากถ้วยหรือหลอดดูด หรือ ช้อนตักน้ำป้อนเวลากินข้าวแล้วฝืดคอ ในวันแรก เริ่มป้อนเพียง 1 ช้อนโต๊ะ แล้วตามด้วยนมแม่จนอิ่ม ค่อย ๆ เพิ่มวันละ 1 ช้อนโต๊ะ อย่าเพิ่มเร็ว เดี๋ยวท้องอืด แล้วร้องกวนตอนกลางคืน แต่ถ้าลูกไม่อยากกิน อย่าบังคับ ให้หยุดป้อน แล้วค่อยให้ใหม่วันต่อมา จนกินได้ครบมื้อ ปริมาณ 5-8 ช้อนโต๊ะ นมมื้อนั้น จะเลื่อนการกินออกไปอีก 3-4 ชม. 

            ในกรณีที่ยังไม่ทราบว่าแพ้อาหารหรือไม่ ควรให้กินมื้อเช้า หรือกลางวัน เพราะหากป้อนมื้อเย็น แล้วมีปัญหาแพ้อาหาร ลูกอาจมีอาการผิดปกติตอนกลางคืน ซึ่งสังเกตอาการได้ยากและต้องไปโรงพยาบาลเวลาฉุกเฉิน แต่ถ้าหากทราบว่า ไม่มีอาการแพ้ อาจเปลี่ยนมาให้อาหารเป็นเวลาเย็น อาจมีประโยชน์ในแง่ อาหารทำให้อิ่มนานขึ้น ลูกอาจหลับได้ยาวขึ้น

            เริ่มใส่เนื้อสัตว์เดือนที่ 7 คือ ไก่ หมู ปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลานิล ปลาทับทิม ปลากราย ปลาเนื้ออ่อน ปลาสวาย ปลาคัง ปลาตะเพียน (ระวังก้าง) ตับไก่ ตับหมู ไข่แดง (ต้องต้มให้สุกเต็มที่ หากเป็นยางมะตูม หรือ ไข่ลวกหรือไข่ที่ตอกลงไปในโจ๊ก ซึ่งสุกไม่เต็มที่ เชื้อโรคไม่ถูกทำลาย จะทำให้ถ่ายเป็นมูกเลือดได้) ปริมาณที่ใส่ต่ออาหาร 1 มื้อ คือ 1 ช้อนโต๊ะพูน ไม่ควรมากกว่านี้ เพราะไตจะทำงานหนัก บดให้ละเอียด ของใหม่ใช้ทีละอย่าง ใช้ซ้ำ 4-5 วัน เพื่อตรวจสอบอาการแพ้ ส่วนไข่ขาว และ อาหารทะเลให้เริ่มหลังจากอายุ 1 ขวบ เนื่องจากแพ้ง่าย หากเริ่มเร็วเกินไป อาจไปกระตุ้นทำให้เกิดปัญหาแพ้ภายหลังได้

            เดือนที่ 7 เริ่มผลไม้ปั่นละเอียดและเติมน้ำลงไปด้วย จะได้ไม่ฝืดคอและไม่หวานเกินไป เป็นอาหารว่างอีก 1 มื้อ ปริมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ เช่น แอปเปิ้ล สาลี่ แคนตาลูป ชมพู่ แตงไทย แตงญี่ปุ่น ลูกพลับ ลูกพีช ลูกแพร์ พุทรา กล้วย มะม่วงสุก มะละกอสุก (หากกินผัก ผลไม้ สีเหลือง สีส้ม มาก ๆ อาจทำให้ผิวสีเหลือง ไม่อันตราย กินต่อไปได้ ถ้าหยุดกินแล้ว กว่าจะหายเหลือง จะใช้เวลานานประมาณ 6 เดือน) ส่วนผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว กีวี่ สัปปะรด มะเขือเทศ บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ ให้เริ่มหลัง 1 ขวบ เนื่องจากแพ้ง่าย 
            ไม่แนะนำให้ขนมทุกชนิดใน 2 ขวบแรก แม้แต่ขนมปัง หรือ ที่เขาว่าเป็นขนมสำหรับเด็กฝึกถือกินเองก็ตาม เพราะจะทำให้ลูกติดใจรสชาติ ไม่ชอบกินข้าว ฟันผุ เป็นโรคอ้วน และขนมปังก็มีสารอาหารน้อยกว่าข้าว จึงไม่ควรให้รู้จัก ถ้าลูกเป็นเด็กมีปัญหากินข้าวยาก นอกจากนี้ขนมปังเป็นอาหารแปรรูป มีการปรุงแต่งใส่รสชาติ สารกันบูด นมเนยชีส และตัวแป้งสาลีก็ถือเป็นอาหารก่อภูมิแพ้

            เดือนที่ 8-9 ให้เพิ่มข้าวเป็น สองมื้อ เริ่มป้อนอาหารเนื้อหยาบขึ้น คือ ไม่บดละเอียด แต่ตุ๋นให้นุ่ม เวลาป้อนให้ใช้หลังช้อนบด แต่ต้องดูด้วยว่า ลูกสามารถกินได้หรือไม่ ถ้าเคี้ยวแล้วกลืนได้ ไม่ติดคอ ไม่คายออกมา ไม่อมเอาไว้ในปากโดยไม่กลืน แสดงว่ากินได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ ให้กลับไปบดละเอียดเหมือนเดิม แต่ทำให้ข้นมากขึ้นเล็กน้อย แล้วเดือนหน้าค่อยลองป้อนใหม่ 

            มื้อที่สาม ให้เริ่มเมื่ออายุ 11-12 เดือน และเริ่มทำอาหารแบบไม่ต้องตุ๋น เพียงแค่ต้ม แล้วดูว่าลูกกินได้หรือไม่ เด็กหลายคนเริ่มกินข้าวสวย และข้าวเหนียวได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ เริ่มปรุงรสอ่อน ๆ ได้ แต่ต้องดูด้วยว่า ไม่มีปัญหาท้องผูก หรือ ถ่ายออกมาเป็นอาหารไม่ย่อย เนื่องจากการกินอาหารที่หยาบมากขึ้น

            เวลาเดินทาง แนะนำให้ใช้อาหารสำเร็จรูปบรรจุในกระปุกแก้ว ที่เปิดฝาแล้วตักกินได้เลย เลือกชนิดที่ไม่เติมน้ำตาล สารกันบูด และนมผง แต่ถ้าอยู่บ้าน แนะนำให้กินอาหารทำเองแช่แข็ง จะมีคุณค่ามากกว่าอาหารสำเร็จรูป ไม่แนะนำอาหารที่เป็นผงชนิดก่อนใช้ให้ผสมน้ำบางยี่ห้อ เนื่องจากมีน้ำตาลและนมวัวผงผสมอยู่ และอาหารที่เป็นผง จัดว่าเป็นอาหารที่มีการดัดแปลงมากเกินไป เนื่องจากผ่านกระบวนการความร้อนที่ทำให้เป็นผง จึงเหลือคุณประโยชน์น้อยลง

            ควรฝึกให้ลูกได้ตักอาหารกินเอง ตั้งแต่อายุ 9 เดือน ไม่ต้องกลัวเลอะเทอะ โดยให้นั่งเก้าอี้ (high chair) และมานั่งกินพร้อมผู้ใหญ่ จะได้เลียนแบบท่าทางของผู้ใหญ่ ไม่ควรกินข้าวพร้อมกับเล่นของเล่น หรือ ดูทีวี หรือ เดินตามป้อนหน้าบ้าน เพราะจะทำให้ติดเป็นนิสัย ไม่มีสมาธิกับการกินข้าว อมข้าว และใช้เวลานานเกินไป 

            ตำราทำอาหารบางสูตร แนะนำให้ใส่เนย มาการีน ชีส หรือ นมวัว หรือ นมผง ลงไปในอาหาร แต่ป้าหมอไม่แนะนำ เนื่องจากทำมาจากนมวัว ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ 

            ส่วนกรณีที่ต้องการเอานมแม่ที่สะสมไว้มาประกอบอาหาร อาจมีที่ใช้ใน 2 กรณี คือ หนึ่ง ลูกไม่ยอมกินนมที่สะสมไว้ หรือ สอง ลูกไม่ยอมกินอาหาร ดังนั้นการเอานมแม่มาผสมกับอาหาร อาจทำให้ยอมรับสิ่งที่ไม่ยอมกินได้ง่ายขึ้น แต่หากลูกยอมกินนมที่สะสมอยู่แล้ว และยอมกินข้าวดีอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องละลายนมเพื่อนำมาใช้ประกอบอาหาร ให้ยุ่งยากหลายขั้นตอน แต่หากลูกมีปัญหาดังกล่าว วิธีเอานมแม่แช่แข็งมาใช้ประกอบอาหารคาว ให้ทำอาหารให้ข้นกว่าปกติ หลังจากที่อุ่นอาหารพร้อมจะกินแล้ว ให้ละลายนมแม่มาราดบนอาหาร เพื่อให้ได้อาหารที่มีความเข้มข้นเหมาะสม จะไม่เอานมแม่ไปต้มกับอาหารตั้งแต่ต้น เพราะจะเสียคุณค่าและมีกลิ่นเหม็น หากต้องการนำนมแม่แช่แข็งมาทำเป็นอาหารหวาน คือ เอาก้อนนมแม่แข็งมาปั่นกับผลไม้ที่ต้องการ แล้วตักป้อนให้กินเป็นไอศกรีมผลไม้

            เครดิตรูป : คุณหมอจ่าพิชิต ขจัดพาลชน 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

            คำเตือน : อย่าเลียนแบบหญิงสาวในภาพนี้เด็ดขาด นำมาให้ดูเป็นอุทาหรณ์ อย่าคิดแต่จะขายของโดยขาดสามัญสำนึกของมนุษย์"

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สาหร่ายเคลป์ (Kelp Seaweed) ช่วยลดน้ำหนักได้รู้หรือไม่

สาหร่ายเคลป์ (Kelp Seaweed) ช่วยลดน้ำหนักได้รู้หรือไม่


เคลป์ เป็นสาหร่ายที่ขึ้นอยู่ในทะเลน้ำลึกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีสีเขียวน้ำตาลมากกว่ามีขนาดความยาว 10 เซนติเมตร – 100 เมตร เลยทีเดียว ซึ่งสาหร่ายชนิดนี้ปลอดจากสารพิษอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากกว่า 60 ชนิด ช่วยลดการสะสมของไขมันภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี และ ช่วยล้างพิษภายในร่างกายได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงรักษาผู้ที่อ่อนแอเป็นโรคต่างๆ ได้ด้วย ช่วยควบคุมการทำงานของการเผาผลาญสิ่งต่างๆ ภายในร่างกายทำให้เราไม่อ้วนง่าย

                คุณประโยชน์ของสาหร่าย เคลป์
1.       ช่วยไขมันในร่างกายบ่อเกิดแห่งความอ้วน 
2.       ช่วยให้ร่างกายมีการเผาผลาญเร็ว
3.       ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลภายในร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี
4.       ช่วยล้างสารพิษ
5.       ช่วยลดปัญหาเรื่องของอาการท้องผูก เนื่องจากมีสภาพเป็น Salinity มีเกลือแมกนีเซียม  หรืออัลคลาไลตัวที่ใช้เป็นยาถ่ายอยู่ด้วย
6.       ช่วยปรับลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด เนื่องจากอาการไหลเวียนของเลือดผิดปกตินั่นเอง
7.       มีแคลเซียมสูง

มีประโยชน์มากมายสารพัดจนเหลือเชื่อจริงๆ สำหรับเจ้าสาหร่ายเคล์ปจากทะเลน้ำลึกถือได้ว่าเป็นสาหร่ายอันทรงคุณค่าเลยก็ว่าได้ในปัจจุบันมีผู้นำสาหร่ายชนิดนี้มาทำเป็นยา หรือ อาหารเสริมบำรุงร่างกายมากมายซึ่งได้รับการการันตรีแล้วว่าปลอดภัยไม่มีอันตรายต่อร่างกายของเราแต่อย่างใด


แน่นอนว่าถ้าเรารับประทานยาที่มีส่วนผสมของสาหร่ายเคล์ปที่ช่วยเรื่องของการลดน้ำหนักแล้วแต่เรายังไม่ผอมเลยลองมาอ่านดูตรงนี้ให้ดีว่าเราได้รับประทานอาหารต้องห้ามในระหว่างการลดน้ำหนักเหล่านี้อยู่หรือเปล่าเพราะถ้าคุณรับประทานสิ่งเหล่านี้อยู่ไม่แปลกเลยที่คุณจะน้ำหนักไม่ลดลง

1.       ห้ามทานอาหารมันๆ อย่าง คอหมูย่าง เป็นต้น
2.       ห้ามทานผลไม้ ต่อไปนี้ ทุเรียน องุ่น ผลไม้ที่มีแคลอรี่สูงห้ามรับประทานเป็นอันขาด
3.       การทานข้าวเยอะเกินไป
4.       งดทานขนมหวานที่มีน้ำตาลเยอะ หรือ ทำจากแป้ง เด็ดขาด เพราะขนมเหล่านี้จะสะสมเป็นไขมันได้
5.       ไม่ควรรับประทาน น้ำอัดลม กาแฟ เหล้า ไวน์ พวกเครื่องดื่มที่มี คาเฟอีนทุกชนิด

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โทนเนอร์ เคล็ดลับผิวสวยที่ถูกมองข้าม


โทนเนอร์ เคล็ดลับผิวสวยที่ถูกมองข้าม



บ่อยครั้งที่แนะนำให้ลูกค้าใช้ “โทนเนอร์” แล้วจะได้รับคำตอบว่า “ไม่ใช้ได้ไหม?” ไม่เคยใช้เลย” “จำเป็นด้วยเหรอ?” ก็ไม่เคยละเลยที่จะอธิบายให้หลายๆ คนได้เข้าใจถึงประโยชน์ของโทนเนอร์

ไม่แปลกใจที่การดูแลผิวของหลายๆคน อาจจะข้ามขั้นตอนนี้ไป เพราะรู้สึกว่ายุ่งยาก หลายขั้นตอน จึงอยากเรามาทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของ “โทนเนอร์” ว่าเพราะอะไร จึงเป็น “เคล็ดลับสำหรับผิวสวย”

รู้จักกับโทนเนอร์

โทนเนอร์ แปลว่าปรับสภาพผิว ไม่ใช่การบำรุงให้ใบหน้าชุ่มชื่น หรือได้ผลเทียบเคียงครีมบำรุง แต่เป็นการเตรียมผิวก่อนทาครีม ซึ่งผลที่ได้แน่นอน คือ ความสะอาดที่มั่นใจได้มากขึ้น และทำให้ผิวรู้สึกสบาย โทนเนอร์ช่วยให้ครีมบำรุงทำงานดีขึ้น เมื่อใช้หลังล้างหน้าในการปรับให้ผิวรักษาความสมดุล ชุ่มชื่น จากนั้นเมื่อทาครีมบำรุง ครีมจึงซึมซาบลงสู่ผิวง่ายขึ้น และลึกมากขึ้น หากใช้ครีมบำรุงหลังโทนเนอร์ภายใน 1-2 นาที

สมัยก่อนโทนเนอร์มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงมาก เป็นสาเหตุให้ผิวแห้งตึง ผู้หญิงหลายคนจึงไม่ค่อยชอบโทนเนอร์ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาโทนเนอร์ที่มีประสิทธิภาพการบำรุงมากขึ้น ดังนั้นควรรู้จักเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว

โทนเนอร์จะใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำความสะอาดผิวหน้า โดยหน้าที่หลักของโทนเนอร์ คือชำระทำความสะอาดสิ่งสกปรกในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้แน่ใจว่าผิวหน้าสะอาดปราศจากสิ่งสกปรกตกค้างจริงๆ นอกจากนี้โทนเนอร์ ยังช่วยปรับสมดุลของผิว ช่วยลดความมัน และ กระชับรูขุมขน ในคนที่มีผิวมัน รูขุมขนกว้าง หรือ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ในคนที่มีผิวแห้ง หลังการล้างหน้า

การเลือกใช้โทนเนอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว

โดยทั่วไปโทนเนอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ โทนเนอร์ขจัดสิ่งสกปรก เช่น น้ำมันส่วนเกิน ฝุ่นละออง หรือเมคอัพตกค้างที่ คลีนเซอร์ล้างออกไม่หมด กับโทนเนอร์บำรุงผิว ซึ่งมีวิตามิน เกลือแร่ และสารบำรุงความชุ่มชื้นผิว
  1. ผิวธรรมดา ผิวผสม – ผิวมัน: เลือกโทนเนอร์ที่ช่วยขจัดความมันและสิ่งสกปรก ต้นเหตุของสิว
  2. ผิวธรรมดา – ผิวแห้เลือกโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติมอบความชุ่มชื้นปราศจากแอลกอฮอล์
  3. ผิวที่มีปัญหาริ้วรอย: เลือกโทนเนอร์ที่ทั้งปกป้อง มอบความชุ่มชื้น และผลัดเซลล์ผิวในขวดเดียวกัน

การใช้โทนเนอร์ให้ถูกวิธี

1. ควรเช็ดโทนเนอร์หลังล้างหน้าใหม่ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
2. เลือกใช้สำลีชนิดแผ่นแทนสำลีแบบก้อน เพราะสำลีแบบแผ่นสามารถเช็ดทำความสะอาดเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของใบหน้าได้ดีกว่า ไม่จำเป็นต้องเช็ดหลายๆ ครั้ง ในทางตรงข้ามสำลีแบบก้อนจะเช็ดได้ไม่ทั่วถึง ทำให้จำนวนครั้งที่ผิวหน้าจะถูกรบกวนมีมากขึ้น
3. เช็ดที่ละครึ่งหน้า เพื่อเป็นการเตือนความจำว่าคุณเช็ดโลชั่นได้อย่างทั่วถึงจริงๆ
4. วางแผ่นสำลีตรงนิ้วกลางและใช้นิ้วนางกับนิ้วชี้หนีบแผ่นสำลีไว้ไม่ให้หลุด จากนั้นชุบโลชั่นบนสำลีและลูบไล้จากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน เมื่อเช็ดครึ่งหน้าฝั่งแรกเสร็จแล้ว ให้กลับแผ่นสำลีอีกด้านที่ยังไม่ได้ใช้และลูบไล้บนผิวหน้าด้วยวิธีเดียวกัน

ก่อนใช้โทนเนอร์
ควรทดลองตรงผิวหลังใบหู (ตรงจุดแต้มน้ำหอม) ถ้าแพ้ก็จะเห็นผลภายใน 30-60 นาทีหรือ ถ้ายังไม่มั่นใจ ก็ให้ทดลองเช็ดโทนเนอร์ก่อนนอนทิ้งไว้ เป็นระยะเวลา 1สัปดาห์ และ ลองสังเกตว่า ผิวบริเวณที่ทำการทดลองมีรอยผื่นแดงหรือไม่ ถ้าไม่มีแสดงว่าสามารถใช้โทนเนอร์ชิ้นนั้นได้

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สเต็มเซลล์ซึ่งสกัดได้จากผลแอ๊ปเปิ้ลสีเขียว

เชื่อว่าผู้อ่านคงทราบประโยชน์ของเจ้าแอ๊ปเปิ้ลสีเขียวกันบ้างแล้วนะค่ะ สำหรับการการรับประทานแอ๊ปเปิ้ลเขียวนั้นร่างกายเราได้ประโยชน์เต็มๆไปอยู่แล้ว และถ้ามีผู้คนพบการสกัดสเต็มเซลล์ที่ได้จากแอ๊ปเปิ้ลเขียวล่ะคะ จะเป็นยังไง ลองมาอ่านกันดูค่ะว่าสเต็มเซลล์ที่ได้จากแอ๊ปเปิ้ลเขียวจะมีประโยชน์ต่อใบหน้าของเราขนาดไหน
แอ๊ปเปิ้ลเขียว

สถาบันบาร์โคนี่ได้คิดค้นวิจัย ค้นหาเสต็มเซลล์ที่จะมาช่วยสร้างผิวใหม่ให้กับคนที่มีปัญหา โดยไม่ใช้สเต็มเซลล์จากคน หรือสัตว์ ซึ่งถือว่าสเต็มเซลล์ที่มีผลข้างเคียงหลังจากการใช้มากที่สุด ในที่สุดก็พบว่าสเต็มเซลล์ซึ่งสกัดได้จากผลแอ๊ปเปิ้ลสีเขียว จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้น มีสารสกัดจากสเต็มเซลล์อยู่มาก และเป็นสเต็มเซลล์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของโครงสร้างในการช่วยแก้ไขปัหาผิวหน้าที่มีริ้วรอย เหี่ยวย่น มีหลุมสิว แผลเป็นจากสิว ผิวหน้าไม่กระจ่างใส

คุณสมบัติที่ได้จากการสัดสเต็มเซลล์นี้ มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับสเต็มเซลล์ที่สกัดได้จากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่สเต็มเซลล์ของผลแอ๊ปเปิ้ลจะมีความปลอดภัยในการใช้มากกว่า เพราะไม่มีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นและที่สำคัญยังได้รับรางวัล European Cosmetics Innovation Prize 2008 ที่การันตีผลลัพธ์ที่ได้ของผลิตภัณฑ์

สเต็มเซลล์ที่ทำมาจากแอ๊ปเปิ้ลนี้ จะรู้จักกันดีเฉพาะในสังคมชั้นสูงเท่านั้นสารสำคัญสำหรับการเจริญของเซลล์อยู่ในระดับที่มีประโยชน์มากกว่า 9000 ชนิด ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งจะช่วย

  • ฟื้นฟูคลอลาเจน และอีลาสติน ใต้ผิวหนัง 
  • ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพที่ถูกทำลายจากแสงแดดและยังต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ยกกระชับกล้ามเนื้อ ลดปัญหาริ้วรอยลึก ร่องแก้ม ใบหน้าที่ไม่ได้รูป
  • รอยแผลเป็นที่เกิดจากการบีบสิว หน้าเป็นหลุม
  • หน้ามันมีสิว รูขุมขนกว้าง ผิวไม่กระชับ
  • หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ขาดความชุ่มชื่น

มาตรฐาน NSF

มาตรฐาน NSF



มาตรฐาน NSF/ANSI ซึ่งได้รับการควบคุมโดยองค์กรส่งเสริมอนามัยแห่งชาติระหว่างประเทศมีหลักเกณฑ์ในการประเมินประสิทธิภาพของงน้ำที่ถูกต้อง และครอบคลุมมากที่สุด เมื่อเน้ำได้รับการรับรองจาก NSF International* หมายความว่าเครื่องกรองน้ำนั้นได้ผ่านการทดสอบจากหน่วยงานอิสระที่เป็นกลางที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ 
น้ำที่ผ่านการตรวจสอบโดย NSF International ใน 3 หัวข้อ คือ
  • มาตรฐานที่ 42 – ผลกระทบด้านกายภาพ : ทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องกรองน้ำในการลดปริมาณสิ่งปนเปื้อนในน้ำดื่มที่มีผลกระทบต่อรสชาติ กลิ่น และความใสของน้ำดื่ม
  • มาตรฐานที่ 53 – ผลกระทบด้านสุขภาพ : ทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องกรองน้ำในการลดปริมาณสิ่งปนเปื้อนในน้ำดื่มที่มีอยู่มากมายหลายชนิดรวมถึงสารตะกั่ว แร่ใยหิน สารประกอบอินทรีย์ที่ระเหยได้ (Volatile Organic Compounds, VOCs) และสารกำจัดศัตรูพืช มาตรฐานที่ 53 นี้ผ่านได้ยากกว่ามาตรฐานที่ 42 มาก
  • มาตรฐานที่ 55 – การบำบัดน้ำทางจุลชีววิทยาด้วยแสงอุลตร้าไวโอเล็ท : ทดสอบกับเครื่องกรองน้ำที่ใช้
    แสงอุลตร้าไวโอเล็ทในการกำจัดเชื้อโรคในน้ำดื่ม ซึ่งมีเพียงไม่กี่ชนิดที่ผ่านมาตรฐานที่ 55 นี้

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทองคำบริสุทธิ์ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้เต่งตึงได้ จริงหรือ?

     ทองคำ นับเป็นอัญมณีล้ำค่าตลอดกาล มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีค่าและหายากมาสัมพันธ์กับสุขภาพกายและความงามเสมอ มีประวัติการนำทองคำบริสุทธิ์มาดัดแปลงใช้กับส่วนต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้า โดยเชื่อว่าจะช่วยชะลออายุผิวพรรณตั้งแต่ครั้งยุคของพระนางคลีโอพัตรา และมีใช้ในระดับผู้นำสูงสุดอีกหลายทวีป เช่น จีน อัฟริกา รวมทั้งยุโรป แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่าทองคำจะช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังได้อย่างไร แต่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดในหลายรูปแบบ ทั้งครีมทาผิว ครีมพอกหน้า รวมทั้งแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 24 เค สำหรับพอกหน้า เราจะมาดูว่ามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อะไรบ้างที่พอจะเชื่อถือได้ว่าทองคำมีส่วนดีต่อสุขภาพทางกายและความสวยงาม และก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้หรือไม่
การนำทองคำมาใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่ม

จากหลักฐานทางการวิทยาศาสตร์ พบว่าโลหะทองคำบริสุทธิ์ จะไม่มีปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆหรือต่อเซลของร่างกายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียง สหภาพยุโรป หรือ อียู ได้รับรองและอนุญาตให้ทองคำจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมแต่งผสมในอาหารได้ (Food Additives) ในประเทศเยอรมนีและยุโรปหลายประเทศ มีการนำแผ่นทองคำเปลวหรือในรูปผงบดละเอียดมาประยุกต์ใช้ตกแต่งอาหาร รวมทั้งการผสมในเครื่องดื่มยี่ห้อเก่าแก่ เช่น Goldschl?ger, Gold Strike, and Goldwasser. ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเครื่องดื่มสุขภาพที่แพงจัด ในประเทศทางแถบเอเชีย เช่น บาหลี มีการนำทองคำมาผสมในการทำขนมหวาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากโลหะทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อย จึงไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมในร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีรสชาด และไม่มีคุณค่าทางอาหาร และจะถูกขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ
การนำมาใช้ทางการแพทย์ 

เป็นความเชื่อของคนยุคโบราณว่าทองคำมีศักยภาพของการสมานโรค (Healing power) ช่วยให้สุขภาพที่แย่ดีขึ้น ทางการแพทย์ได้มีการทดลองนำแร่ทองคำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของเกลือ (Gold salts) พบว่าอนุพันธ์ดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอาการอับเสบและบวมช้ำของโรคเก๊า (Rheumatoid arthritis) ซึ่งได้มีการทดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80 ปีที่ผ่านไป กลไกยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าแร่ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกที่อักเสบ ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดและบวมช้ำได้ผล อย่างไรก็ตามการฉีดแร่ทองคำในรูปแบบของเกลือหรือโกลด์ซอล์ท จะก่อให้เกิดอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้ และยังมีผลสะสมในตับและไตอีกด้วย ผู้ที่ได้รับการรักษาจึงควรจะคอยตรวจเช็คเลือดอย่างสม่ำเสมอ
การประยุกต์ใช้ทางเครื่องสำอางเพื่อลดเลือนริ้วรอย

จากการค้นพบทางการแพทย์ว่า ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสสระได้และส่งผลให้เกิดกลไกในการต้านอาการอักเสบของข้อกระดูกในโรคเก๊าได้ผลดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเชื่อว่า ด้วยกลไกเดียวกันนี้โลหะทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสสระของผิวหนังและต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้ จึงมีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ผสมในเครื่องสำอางที่มีราคาแพงในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการยืดอายุผิวพรรณและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพการชะลออายุผิวพรรณเมื่อใช้ทองคำเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆว่าจะคุ้มราคาหรือไม่
ความเป็นพิษและอาการข้างเคียง

แม้ว่าแร่ทองคำบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษหรือไม่ระคายเคืองต่อเซลร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางเคมีให้อยู่ในรูปของเกลือหรือโกล์ดซอล์ท จะมีอันตรายต่อไต ต่อตับ และยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดหากได้รับเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าแร่ทองคำมีผลทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลข้างเคียงดังกล่าวมักพบในผู้หญิง จนได้รับการโหวตให้เป็นสารก่อภูมิแพ้ในปี 2001 โดยสมาคมโรคผิวหนังของสหรัฐอเมริกา
บทความโดยรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เอกสารอ้างอิง
  1. Gold: From Wikipedia, the free encyclopedia
  2. Rheumatoid arthritis and metal compounds—perspectives on the role of oxygen radical detoxification Analyst, January 1998, Vol. 123 (3–6).