วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)

เทคโนโลยีชีวภาพคืออะไร




เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เป็นความรู้ หรือ วิชาการที่สามารถนำสิ่งมีชีวิต หรือ ผลผลิตจากสิ่งมีชีวิตมาใช้ หรือ มาปรับเปลี่ยน และประยุกต์ เพื่อใช้ประโยชน์ เรารู้จักการใช้เทคโนโลยีชีวภาพมานานแล้ว การทำน้ำปลา ซีอิ๊ว การหมักอาหาร หมักเหล้า ล้วนเป็นเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม เช่นเดียวกับ การปรับปรุงพันธุ์พืช สัตว์ ให้มีผลผลิตมากขึ้น มีคุณภาพดีขึ้น หรือ การนำสมุนไพรมาใช้รักษาโรค บำรุงสุขภาพ ก็จัดว่าเป็นเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีชีวภาพ เรามักหมายถึง เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีวิทยาศาสตร์หลายสาขาวิชาผสมผสานกันอยู่ ทั้งชีววิทยา เคมี ชีวเคมี ไปจนถึง ฟิสิกส์ และวิศวกรรม ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็น “สหวิทยาการ” ที่นำความรู้พื้นฐานด้านต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

จากบทความทางวิชาการประกอบการอภิปราย เรื่อง เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับฟาร์มเพาะและเลี้ยงกุ้งกุลาดำ โดย รศ. น.สพ. เกรียงศักดิ์ พูนสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงานวันกุ้งกุลาดำ ครั้งที่ 11 ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง การนำหลักการ หรือวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มีคุณประโยชน์มากที่สุด จากการแปลความหมายของคำว่า BIO หมายถึง สิ่งมีชีวิต TECHNOLOGY หมายความถึง วิทยาการ หรือวิธีการ อาจสรุปง่ายๆว่า เทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ ในการนำเอาสิ่งมีชีวิตมาใช้ 



ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยีชีวภาพมีมากมาย ได้แก่

1. พันธุวิศวกรรม : เป็นกระบวนการ ที่เจาะจงเลือกหน่วยพันธุกรรม (Gene) บางตัวของสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง (ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือ จุลินทรีย์) และนำไปใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง เพื่อทำให้เกิดลักษณะพิเศษที่ต้องการ รวมถึงการตัด และต่อพันธุกรรม เช่น การตัดพันธุกรรมในการสร้างน้ำย่อยของเชื้อ R. oryzae ไปต่อเพิ่มให้กับ R. oryzae อีกตัวหนึ่ง ทำให้ R. oryzae ตัวที่ถูกเพิ่มพันธุกรรม สามารถสร้างน้ำย่อยได้มากขึ้น 
2. การผลิตวัคซีน : วัคซีนทุกชนิดนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพเช่นเดียวกัน วัคซีน อาจเตรียมได้จากเซลล์ของตัวก่อโรคทั้งหมด (Whole cells) หรือเตรียมจากเปลือกหุ้มตัวเชื้อ (Capsule) หรือ เตรียมจากส่วนขนละเอียดรอบตัวเชื้อ (Pilli) ก็ได้
3. สารกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค : ผนังเซลล์ของจุลินทรีย์บางชนิด มีส่วนประกอบของสารในกลุ่ม polysaccharides (เช่น Oligosaccharide และ Peptidoglycan เป็นต้น) สารพวกนี้ มีคุณสมบัติในการเกาะจับจุลินทรีย์ตัวก่อโรค และสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ มีตั้งแต่การใช้ตัวเซลล์ (Whole cell), สกัดเพียงบางส่วน เช่น สาร Oligosaccharide จากผนังเซลล์ของยีสต์ แบคทีเรีย Pediococcus spp. และ Lactobacillus บางสายพันธุ์
4. น้ำย่อย หรือ เอ็นไซม์ : น้ำย่อยที่สร้างจากสัตว์แต่ละชนิด มีความสามารถในการย่อยวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้แตกต่างกัน เมื่อให้สัตว์กินวัตถุดิบบางชนิดแล้ว สัตว์ไม่สามารถย่อยได้ ทำให้สิ้นเปลืองวัตถุดิบ ดังนั้นเป้าหมายของการใช้วัตถุดิบในปริมาณน้อย แต่ให้เกิดประโยชน์ (ย่อย) ได้ดีที่สุด ปัจจุบันจึงได้มีการผลิตน้ำย่อย ทั้งชนิดจำเพาะ เช่น น้ำย่อยที่ย่อยสารกลูแคน (Glucanase) หรือในรูปของน้ำย่อยรวม (Enzyme cocktail) มาใช้ผสมในอาหารสัตว์ ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้วัตถุดิบได้ และสัตว์เจริญเติบโตได้ดี น้ำย่อยที่กล่าวถึงนี้ คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการสันดาป (Metabolic products) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกระบวนการหมักของจุลินทรีย์
5. วิตามิน : วิตามิน เป็นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการสันดาปที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการผลิตของจุลินทรีย์ เช่น กากเบียร์ จะมีส่วนประกอบของวิตามิน บี หลายชนิด เป็นต้น
6. โปรตีน และกรดอะมิโน : ตัวเซลล์ของจุลินทรีย์หลายชนิด มีส่วนประกอบของโปรตีน และกรดอะมิโน
7. สารสกัดจากพืช : สารสกัดจากพืชบางชนิด มีคุณสมบัติ เป็นสารทำลายศัตรูพืช หรือ ออกฤทธิ์ทำลายแบคทีเรียบางชนิดได้
8. สารเสริมชีวนะ : หรือ ที่เรียกว่า โปรไบโอติก เป็นผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีชีวภาพ ที่อาจกล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ เป็นที่รู้จักมากที่สุดในวงการการเลี้ยงสัตว์ สารเสริมชีวนะ ประกอบด้วยกลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีคุณประโยชน์ ได้แก่ แบคทีเรีย (Bacteria) ยีสต์ (Yeasts) และรา (Fungi) โดยเฉพาะพวกแบคทีเรีย ที่สามารถสร้างกรดแลคติค และกรดไขมันระเหย (Lactic acid and Volatile Fatty acid) ความสำคัญของสารเสริมชีวนะ นอกจากจะสร้างกรด เพื่อยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ตัวก่อโรคแล้ว ยังมีความสามารถในการเจริญทวีจำนวนได้รวดเร็ว เบียดบัง หรือข่ม และแข่งจุลินทรีย์ที่ก่อโรคได้อีกด้วย และสารเสริมชีวนะนี้ ตัวเซลล์ยังประกอบด้วยสารสำคัญ ในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค พวก polysaccharide และ peptidoglycan อีกด้วย มีผู้อธิบายถึงการที่จุลินทรีย์พวกนี้ สามารถสร้างสารคล้ายปฏิชีวนะ ทำลายจุลินทรีย์อื่น โดยเฉพาะตัวที่ก่อโรคได้เช่นเดียวกัน
9. กลุ่มย่อยสลาย อินทรีย์ และอนินทรีย์สาร : จุลินทรีย์หลายชนิด โดยเฉพาะแบคทีเรีย ทำหน้าที่ในการย่อยสลายของเสียทั้งหมด ให้กลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก จนพืชชั้นสูง และพืชเซลล์เดียว สามารถดูดซับสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้ ปัจจุบันสามารถเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ เพื่อนำมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการย่อยสลาย และควบคุมคุณภาพของน้ำเสียจากฟาร์ม อย่างแพร่หลาย
10. การถนอมอาหาร : การถนอมอาหารโดยใช้จุลินทรีย์ ได้แก่ การหมัก และดองอาหาร เช่น การทำนมเปรี้ยว แหนม ผักดอง เป็นต้น
11. เพิ่มคุณค่าทางอาหาร : เช่น จุลินทรีย์จะสร้างน้ำย่อย เพื่อย่อยน้ำตาลแลคโตสในน้ำนม ให้ได้เป็นน้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลกาแลคโตส ซึ่งมนุษย์สามารถนำไปใช้ได้
12. อุตสาหกรรมการผลิต : เช่น การผลิตเหล้าองุ่น เบียร์ แอลกอฮอล์ ที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง และใช้ฆ่าเชื้อ เป็นต้น


เทคโนโลยีนี้ยังสามารถนำมาใช้ในการผลิตอาหารเสริมได้อีกด้วย
สนใจอาหารเสริมที่ใช้เทคโนโลยี่นี้คลิกเลย http://skybeauty.lnwshop.com/

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เครื่องสำอางบนความเจ็บปวดของกระต่าย

เครื่องสำอางบนความเจ็บปวดของกระต่าย


เครื่องสำอาง,มหาวิทยาลัยรังสิต ,กระต่าย,In Vitro Topical and Cosmetic Testing,แจคเกอลีน เทรด,วารสารรังสิต
 ‘เครื่องสำอาง’ ผลิตภัณฑ์ที่เติมแต่งความสวยงามให้กับร่างกายมนุษย์ เบื้องหน้าของผลิตภัณฑ์ เครื่องสาอางอาจดูสวยหรูน่าใช้ แต่น้อยคนนักที่จะทราบถึงเบื้องหลังหรือด้านมืดของความสวยงามใน กระบวนการทดสอบผลิตภัณฑ์ ที่มักนิยมใช้สัตว์เป็นผู้พลีชีพเพื่อแลกกับความสวยงามทั้งที่สัตว์เหล่านั้นไม่ได้ ประโยชน์ด้วยเลย ผู้ที่ได้ประโยชน์กลับเป็นมนุษย์ที่ทำหน้าที่ส่งเหล่าสัตว์เหล่านั้นไปสู่เส้นทางแห่งความ เจ็บปวดและความตาย
กว่าจะได้มาสคาร่าหนึ่งแท่งหรืออายแชโดว์สีสันสดใสหนึ่งตลับให้เราได้ใช้กันอย่างเพลิดเพลินใจ นั้นมีสัตว์กี่ชีวิตที่ต้องสละชีวิตเพื่อแลกกับความสวยงามของมนุษย์ ในการทดสอบว่าเครื่องสำอางที่จะนำไป วางขายนั้นจะมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่ สัตว์ที่นามาใช้ทดลองจำนวนมหาศาลต้องถูกบังคับให้กินหรือ สูดดมส่วนประกอบต่างๆของเครื่องสำอางเข้าไป หรือไม่ก็ถูกโกนขนจนเกลี้ยงโกร๋นแล้วถูกโปะซ้ำด้วยสาร ต่างๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 28-90 วัน ก่อนจะถูกส่งไปที่ชอบที่ซึ่งชอบที่สัตว์ผู้น่าสงสารเหล่านั้นก็คงไม่ได้ ชอบอย่างที่เรากล่าวอ้าง
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของวิธีการทดสอบเครื่องสำอางกับสัตว์ทดลอง หลาย ท่านอาจสงสัยว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่ต้องใช้สัตว์ในการทดลอง ไม่มีวิธีทดสอบด้วยวิธีอื่นหรือ?
รศ.ภญ.ดร.สุพัตรา ศรีไชยรัตน์ อาจารย์คณะการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าว่า ผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาใช้กับมนุษย์ได้นั้นจะต้องมีความปลอดภัยสูง การที่จะทดสอบว่าสารนั้นมีความปลอดภัยหรือไม่ ก็ต้องมีการทดสอบกับสัตว์มาก่อน แล้วถึงค่อยนามาทดลองกับมนุษย์ สัตว์ที่ใช้ทดลองจะเป็นกลุ่มสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนูขาว หนูไมค์ กระต่าย แมว สุนัข เป็นต้น ในเครื่องสำอางจะนิยมใช้กระต่าย เพราะมีผิวที่ค่อนข้างตอบสนองไวกว่าสัตว์ชนิดอื่น อีกทั้งกระต่ายยังมีผิวหนังที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด ในการทดลองก็จะมีการโกนขนกระต่ายออกด้านหนึ่งแต่อีกด้านจะไม่โกน หลังจากนี้จะเป็นการป้ายยาในบริเวณที่โกนขนออก และคอยสังเกตผิวหนังบริเวณนั้น 
ภาพ : การทดลองความปลอดภัยของเครื่องสำอางด้วยการโกนขนกระต่ายและฉีดสารเข้าดวงตา
photo credit  : www.emmafarrellmakeup.com
รศ.ภญ.ดร.สุพัตรา เล่าต่อว่า การทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจะมีการทดสอบอยู่ 4 อย่าง คือ การทดสอบการระคายเคืองต่อผิว (Skin Irritation Test) การทดสอบความเป็นพิษเมื่อเจอแสง (Photo Toxiccity Test) การทดสอบการระคายเคืองต่อดวงตา (Ocular Irritation Test) และการทดสอบความสามารถในการซึมซาบสู่ผิวหนัง (Transdermal Permeability Test) โดยเครื่องสำอางที่ใช้กับดวงตาจะมีการทดสอบว่าระคายเคืองต่อดวงตา ด้วยการทาการหยอดสารเข้าไปในตาของกระต่าย บางตัวอาจตาบอดและแสบตาได้ถ้าเกิดการระคายเคือง เมื่อการทดสอบสำเร็จแล้วก็จะทาการเมตตาฆาต (Euthanasia) กับสัตว์ทดลอง คือการฆ่าด้วยความเมตตา อาจจะเป็นการฉีดยาให้สัตว์ตายหรือรมแก๊ส ที่ต้องทาเมตตาฆาตเพราะว่าสัตว์ที่ทาการทดลองแล้วจะไม่นามาใช้ทดลองซ้ำอีก
"ผู้ทำการทดลองส่วนมากก็ไม่ได้อยากจะทำการทดลองกับสัตว์นะ แต่ที่ต้องทาเพราะยังมีความจาเป็นที่ต้องตรวจสอบความปลอดภัยของผู้ใช้ และอยู่ในข้อกาหนดตามหลักสากล ยอมรับว่าเขาเสียสละชีวิตเพื่อความปลอดภัยของมนุษย์ โดยส่วนตัวจะให้ความเคารพในชีวิตของสัตว์ทดลองที่เขาต้องสละชีวิตก็เพื่อประโยชน์ของเรา" รศ.ภญ.ดร.สุพัตราพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า การทดลองผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในปัจจุบันไม่จำเป็นแล้วที่จะต้องใช้สัตว์ทดลอง เนื่องจากมีวิธีการที่มีการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับซึ่งอยู่ใน OECD Test Guidelines หรือทำการทดสอบกับเซลล์เพาะเลี้ยงแทน
ปัจจุบันมีเครื่องสำอางที่ไม่ทาการทดลองกับสัตว์มากขึ้น เพราะส่วนประกอบที่ใช้หรือสารเคมีที่อยู่ในเครื่องสำอางล้วนเคยผ่านการทดสอบกับสัตว์มาก่อนแล้ว การทดสอบที่เคยมีคนทดสอบมาก่อนจึงไม่จำเป็นต้องทดสอบซ้ำอีก นั่นเพราะมีการยอมรับแล้วว่าส่วนผสมเหล่านี้ปลอดภัย เพียงแค่ดูข้อมูลแล้วนำมาทดสอบภายนอกร่างกายกับคน ซึ่งเรียกว่า ‘In Vitro Topical and Cosmetic Testing’ การทดลองผลิตภัณฑ์กับสัตว์ ถ้าในเรื่องของเครื่องสำอางการทดสอบกับสัตว์อาจไม่จำเป็นแล้ว แต่ยารักษาโรคยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้สัตว์ทดลองอยู่ รศ.ภญ.ดร.สุพัตรา กล่าวทิ้งท้าย 
ภาพ : การทดสอบความเป็นพิษในเครื่องสำอางกับสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล
photo credit  : www.peta.org
ปัจจุบันมีกลุ่มคนและเครื่องสำอางหลายยี่ห้อทั่วทุกมุมโลกการออกมารณรงค์ต่อต้านการใช้สัตว์ทดลองในเครื่องสำอางมากขึ้น เมื่อต้นปี 2555 ศิลปินสาว ‘แจคเกอลีน เทรด’ (Jacqueline Traide) ร่วมมือกับ ลัช (Lush) จำลองการแสดงการทดลองเครื่องสาอางกับสัตว์ขึ้นที่ร้าน ลัช สาขาถนนรีเจนท์ ในกรุงลอนดอน โดยศิลปินสาวลงทุนเป็นหนูทดลองเอง ในการแสดง แจคเกอลีน เทรด ถูกทรมานจริงทั้งการโกนศีรษะ การใช้สารเคมีทาที่ผิวหนัง การถูกทรมานด้วยการป้อนอาหารทดลอง และการทรมานอื่นๆ อีกมากมายเป็นเวลานานกว่า 10 ชั่วโมง สาเหตุที่เธอจาลองการแสดงการทดลองนี้เป็นเพราะต้องการรณรงค์ให้ทุกคนเห็นว่า การใช้สัตว์ในอุตสาหกรรมยาและเครื่องสาอางนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทั้งยังต้องการให้สิ่งเหล่านี้หมดไปให้เร็วที่สุด
ภาพ : การทดลองผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางกับสัตว์ที่จำลองขึ้นโดย แจคเกอลีน เทรด และ ลัช
photo credit : Mark Large
นายชัยชาญ เลาหศิริปัญญา ผู้อำนวยการและเลขาธิการ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) พูดถึงการใช้สัตว์ทดลองในเครื่องสำอางว่าไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะสามารถทำได้ง่ายๆ จะต้องมีการเขียนโครงการและจำนวนสัตว์ที่ใช้ มีการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะทำการทดสอบอย่างไร เพราะ การใช้ทดลองสัตว์ส่วนมากแล้วผู้ใช้จะพยายามใช้ชีวิตสัตว์ให้น้อยและใช้อย่างจำเป็นที่สุด  
“ถ้าถามว่าเป็นการทารุณสัตว์หรือไม่ ในกรณีนี้ถือว่าเป็นการทารุณซึ่งมีเหตุอันควร เพราะว่าการนำสัตว์มาทดลองก็เพื่อผลประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ ผู้ทำการทดลองควรจะต้องมีจรรยาบรรณ ควรให้ความเคารพ และไม่ให้เกิดความสูญเสียชีวิตสัตว์ทดลองเป็นจำนวนมาก การทดลองเครื่องสำอางอาจจะทารุณไม่มากเมื่อเทียบกับการทดลองประเภทอื่น อย่างไรก็ตามเรื่องของการรณรงค์ต่อต้านการทดลองเครื่องสำอางกับสัตว์ในประเทศไทยยังมีค่อนข้างน้อยและยังไม่เป็นที่นิยมมากนักเมื่อเทียบกับต่างประเทศ” นายชัยชาญพูดทิ้งท้ายด้วยแววตาเศร้า
ภาพ : โลโก้ที่แสดงถึงสัญลักษณ์ว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่ได้ใช้สัตว์ในการทดลอง
ด้านมืดของความสวยงามของเครื่องสำอางที่ใช้สัตว์ในการทดลองและสัตว์ทดลองต้องแบกรับความเจ็บปวดจากการทดสอบความปลอดภัยของเครื่องสำอางมากมายหลากหลายวิธี ถ้าไม่อยากใช้เครื่องสำอางที่ใช้สัตว์ในการทดลองสามารถมองหาสัญลักษณ์ ‘Crueltry-Free’ ที่มีรูปกระต่าย หรือ มีข้อความระบุว่า ‘Not Tested In Animals’
บทความนี้อยากให้ทุกท่านระลึกไว้เสมอว่าคุณค่าหรือความโด่งดังของเครื่องสำอางที่หลายคนชื่นชอบเป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้ภาพที่สวยหรู แต่เบื้องหลังกลับมีความเจ็บปวดของสัตว์ทดลองที่ไม่สามารถเปล่งเสียงร้องออกมาได้เหมือนมนุษย์ ซึ่งขั้นตอนการทดลองสัตว์ทดลองต้องสละชีวิต ทนต่อความเจ็บปวดหลากหลายรูปแบบ และเมื่อการทดลองสิ้นสุดลง สัตว์ทดลองตัวน้อยก็ต้องถูกเมตตาฆาตโดยที่ไม่ได้ร้องขอ... แม้จะเป็นเพียงชีวิตเล็กๆ แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีคุณค่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้ชีวิตมนุษย์
บางทีเราก็ทาร้ายเพื่อนร่วมโลกโดยไม่รู้ตัว หยุดเสียแต่ตอนนี้ดีกว่าไหม มนุษย์ผู้มีความศิวิไลซ์อย่างพวกเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำร้ายใคร